วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

ประวัติการปกครองของไทยสมัยกรุงธนบุรี


กรุงศรีอยุธยาถูกกองทัพพม่าเข้ารื้อเผาทำลายเมือง เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ 2310 พระมหากษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ขุนนางและไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ถูกจับเป็นเชลยกลับไปเมืองพม่า ราชอาณาจักรอยุธยาที่เคยรุ่งเรืองที่สุด ในภูมิภาคก็ล่มสลาย ทุกหัวระแหงมีกลุ่มโจรปล้นสะดม มีการรวบรวมช่องสุมผู้คนตั้งเป็นชุมนุมเพื่อป้องกันตัวเองและพวกพ้อง อันที่จริงสภาวการณ์ดังกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นก่อนเวลา กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอีก เพราะในช่วงเวลานั้น ทุกคนต่างตระหนักถึงความล่มสลายของระบบป้องกันตนเองของราชอาณาจักรแล้ว ดังจะเห็นภาพได้จากตำนาน เรื่องชาวบ้านบางระจันที่รวมตัวกันปกป้องชุมชนของตน ข้าราชการไม่มีความคิดที่จะต่อสู้เพื่อป้องกัน กรุงศรีอยุธยา ขุนนางหัวเมืองที่ถูกเรียกเข้ามาป้องกันพระนคร ก็พยายามหาทางหลีกเลี่ยงเพื่อกลับไปป้องกันบ้านเมืองและครอบครัวของตนที่อยู่ตามหัวเมือง


เนื่องจากทุกคนเห็นว่า พระนครศรีอยุธยาต้องเสียเอกราชอย่างแน่นอน ในช่วงเวลานั้น ทุกคนจึงคิดแต่จะหาทางเอาตัวรอดไว้ก่อน แม้แต่พลเมือง ในพระนครศรีอยุธยา ที่ถูกกองทัพพม่าล้อมอยู่ จนขาดแคลนเสบียงอาหาร ก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยที่ได้แอบหลบหนีออกจากพระนครเข้าไปอยู่กับกองทัพพม่า เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ด้วยเหตุนี้เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก พม่าได้เข้าเมืองกวาดต้อนผู้คนและทรัพย์สินกลับไปเมืองพม่าโดยแต่งตั้งให้สุกี้นายทหารพม่าเชื้อสายมอญเป็นพระนายกองอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ให้คอยรวบรวมทรัพย์สินและผู้คน ที่อาจมีประโยชน์อยู่บ้างเพื่อส่งกลับไปเมืองพม่า ภายในราชอาณาจักรอยุธยาจึงเกิดการจลวจลวุ่นวายไปทั่ว มีการซ่องสุมผู้คนเพื่อปล้นสะดมและป้องกันตนเองอยู่ทั่วไปแต่ที่สำคัญมี 5 ชุมนุมดังนี้คือ


1. เมืองพระฝาง คือกลุ่มชาวบ้านที่มีหัวหน้าชื่อ เรือน ซึ่งในอดีตเป็นพระภิกษุ ชั้นราชาคณะ ของ เมืองเหนือ เรียกว่า สังฆราชเรือน ได้สึกออกมาและรวบรวมผู้คนซ่องสุมกำลังป้องกันตนเอง อยู่ที่เมืองฝาง ซึ่งเป็นเมืองชายแดนเหนือสุดตามลำแม่น้ำน่านของกรุงศรีอยุธยา เป็นเมืองที่มีพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งเมืองฝางยังเป็นดินแดนของแคว้นสุโขทัย ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลผาจุก อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์


2. เมืองพิษณุโลก ซึ่งเคยเป็นหัวเมืองทางเหนือที่สำคัญของอยุธยา และเคยเป็นเมืองสำคัญของสุโขทัย มาก่อน เจ้าเมืองพิษณุโลก ( เรือง ) ได้สถาปนาตนขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และรวบรวมบ้านเมืองที่เคยเป็นเมืองทางเหนือ ของอยุธยาไว้ด้วยกันแต่ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ จึงมีอำนาจอยู่เฉพาะที่เมืองพิษณุโลกเท่านั้น


3. เมืองพิมาย มีเจ้าพิมายรวบรวมผู้คนในละแวกเมืองพิมาย ซึ่งเป็นบริเวณที่มีผู้คนมาก เนื่องจากเป็น ดินแดนของการตั้งรกรากที่อาศัยมาแต่ดั้งเดิม และเป็นบ้านเมืองที่เจริญมาตั้งแต่ราชอาราจักรขอมกัมพูชา กรมหมื่นเทพพิพิธ เชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของราชสำนักอยุธยาได้หนีมาอยู่กับเจ้าพิมายด้วย แต่อำนาจทั้งหลายยังคงอยู่ที่เจ้าพิมายซึ่งมีฐานกำลังของคนพื้นเมืองพวกเดียวกัน


4. เมืองนครศรีธรรมราช เมืองใหญ่บนดินแดนแหลมมลายูของราชอาณาจักรอยุธยาเดิมและเคยเป็นเมืองสำคัญแต่โบราณ ที่ถูกอยุธยาผนวกดินแดนไว้ตั้งแต่ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ปลัดเมืองนครศรีธรรมราชชื่อหนูตั้งตัวเป็นใหญ่หัวเมืองอื่นๆ ตั้งแต่ใต้เมืองไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป อาทิเช่นเมืองสงขลา เมืองพัทลุง ต่างก็ยอมรับอำนาจของเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ( หนู ) แต่โดยดี


5. เมืองจันทบุรี ซึ่งตั้งอยู่นอกเขตการรุกรานของกองทัพพม่าที่เข้ามาทำสงครามครั้งนี้ หัวหน้าคือพระยาตาก ( สิน ) ซึ่งต่อมาคือพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าพระเจ้าตากสินมหาราช ขุนนางหัวเมืองเหนือของกรุงศรีอยุธยาที่ถูกเรียกมาช่วยป้องกัน พระนครศรีอยุธยา ได้นำทหารหัวเมืองที่ติดตามมาด้วยกันประมาณ 500 กว่าคน ตีฝ่าวงล้อมกองทัพพม่าที่ปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาออกมาได้ และมาตั้งมั่นรวบรวมผู้คนจากบ้านเมืองแถบชายฝั่งทะเลตะวันออกตั้งแต่ระยองลงไป บ้านเมืองที่แตกแยกตั้งตัวเป็นก๊กเป็นเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่ากรุงศรีอยุธยาที่ถูกพม่าตีแตกนั้น มิใช่แต่ เพียงตัวพระนครที่ถูกเผาผลาญย่อยยับอย่างเดียว แต่ระบบที่ยึดโยงบ้านเมืองต่างๆ เข้าไว้ในอาณาจักรเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันนั้นก็ได้แตกสลายไปด้วย ก๊กเหล่าที่เป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกันเหล่านี้ จึงกลับไปมีสภาพเหมือนกับแว่นแคว้นเมืองเล็กเมืองน้อยที่ก่อตั้ง ขึ้นมาใหม่และออกปล้นสะดมต่อสู้กัน โดยมีลักษณะภายในที่แตกต่างกันออกไป บางก๊กก็มีลักษณะของการรวมตัวโดยใช้อำนาจศักดิ์สิทธิ์เป็นพื้นฐาน บางก๊กมีลักษณะที่ตั้งอยู่บนระบบเดิม ภายในที่ยังหลงเหลืออยู่ในท้องถิ่น แม้ว่าก๊กพิมายจะมีเจ้านายราชวงศ์เดิมอยู่ด้วย แต่ก็มิได้หมายความว่าเป็นมูลฐานแห่งการรวมตัว กล่าวคือแต่ละหมู่เหล่า ที่ตั้งตัวเป็นอิสระนั้น มีลักษณะเพื่อป้องกันตนเองในเบื้องแรก และพัฒนาไปสู่การจัดตั้งอำนาจรัฐใหม่เฉพาะท้องถิ่นของตน ไม่ปรากฎหลักฐาน ที่แสดงบทบาทหรือพฤติกรรมของก๊กใดเลย ที่ต้องการจะพลิกฟื้นอยุธยาขึ้นมาใหม่



เนื่องจากเห็นว่าได้กลายเป็นเมืองเก่าที่ไร้ประโยชน์แล้ว มีแต่ก๊กที่เมืองจันทบุรีของพระยาตากสิน เพียง ก๊กเดียวเท่านั้น ที่แสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจน ตั้งแต่เริ่มแรกในการที่จะกลับมาพลิกฟื้นพระนครศรีอยุธยาขึ้นใหม่ เมื่อกองทัพพม่าเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยานั้นพระยาตากสินซึ่งเป็นเจ้าเมืองตากถูกเรียกระดมพลเข้ามาป้องกันพระนครศรีอยุธยาตั้งแต่ พ.ศ 2308 พระยาตากสินได้สู้รบกับกองทัพพม่าและได้รับชัยชนะหลายครั้ง ดังที่ได้กล่าวแล้ว ถึงความเสื่อมโทรม ภายในราชอาณาจักรหลายประการ ที่ทำให้พระยาตากสินเห็นว่า กรุงศรีอยุธยาไม่สามารถที่จะรอดพ้นเงื้อมมือกองทัพพม่าอย่างแน่นอนดังนั้นก่อนเวลาที่กรุงศรีอยุธยา จะเสียเอกราชแก่พม่าประมาณ สามเดือนพระยาตากสินพร้อมกับนายทหารหัวเมืองที่ร่วมรบมาด้วยกันประมาณ 500 คน ได้ยกกำลังตีฝ่าทัพพม่าไปทางทิศตะวันออก มุ่งหน้าไปสู่หัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันออกซึ่งกองทัพพม่าไม่สามารถเข้าไปรุกรานได้ ในที่สุด เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าแล้ว กองกำลังของพระยาตากสินก็ยึดเมืองจันทบุรีเป็นที่ตั้งและรวบรวมกำลังผู้คนจากเมืองใกล้เคียง ทั้งโดยวิธีเกลี้ยกล่อม และการใช้กำลังเข้าปราบปราม ในช่วงเวลานั้น มีข้าราชการกรุงศรีอยุธยาได้เข้ามาร่วมด้วย คนสำคัญ คือนายสุดจินดา(บุญมา) มหาดเล็กหุ้มแพร ซึ่งภายหลังคือ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรีเมื่อพระยาตากสินสามารถรวบรวมกำลังคน สะสมอาวุธ และต่อเรือ ที่เมืองจันทบุรีได้มากพอแล้ว เมื่อสิ้นฤดูฝน จึงได้ยกกองทัพไปยังอยุธยา และรบชนะพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น ที่มีสุกี้คุมกำลังอยู่ได้ สุกี้ตายในที่รบ พระยาตากสินจึงยึดกรุงศรีอยุธยาที่เหลือแต่ซากปรักหักพังคืนมาได้ หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาตกเป็นของพม่านาน 7 เดือน พระยาตากสินเห็นว่า ยังไม่มีกำลังเพียงพอที่จะบูรณะ และรักษาเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ได้ จึงรวบรวมผู้คนกลับไปตั้งมั่นที่เมืองธนบุรี



พระยาตากสินทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ 2311 ขณะมีพระชนมายุได้ 34 พรรษาทรงพระนามว่า สมเด็จพระศรีสรรเพ็ชญ์ หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 อันเป็นการ แสดงเจตนารมณ์สืบพระสมมติวงศ์แห่งกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา โดยพระนาม แต่คนทั่วไปนิยมขนานนามพระองค์ว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก่อนเข้ารับราชการนั้น ค่อนข้างคลุมเครือส่วนมากที่ทราบกันอยู่นั้น เป็นเรื่องที่เขียนขึ้นในภายหลังโดยปราศจากหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะการเขียนพระราชประวัติ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในสมัยนั้น เพื่อมุ่งเทิดพระเกียรติพระองค์เป็นสำคัญ มิได้มีแนวคิดเพื่อการเสนอข้อเท็จจริงเหมือนเช่นในปัจจุบัน ศาสตราจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้นำเสนอประกอบการวิเคราะห์ในหนังสือ การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี จึงมีเพียงว่า พระองค์มีพระนามเดิมว่า สิน ทรงมีเชื้อสายทางบิดา เป็นจีนแต้จิ๋ว แซ่แต้ ทรงพระราชสมภพ เมื่อ พ.ศ 2277 ในต้นรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก่อนเข้ารับราชการ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีอาชีพเป็นพ่อค้าเกวียน คือมีกองเกวียนบรรทุกสินค้า ขึ้นไปแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าที่เมืองตาก(เมืองระแหง) ซึ่งเป็นเมืองชายเขตขนาดเล็กของอยุธยา พระองค์อาจจะคุมกองเกวียน ติดต่อกับเมืองชายเขตแถบเมืองเหนือ เช่น พิษณุโลก พิชัย ฝาง ด้วย ดังนั้น พระองค์จึงเข้าใจภูมิประเทศและฤดูกาลของบ้านเมืองในถิ่นนั้นได้เป็นอย่างดี การค้าระหว่างเมืองชายเขตกับส่วนกลางที่กรุงศรีอยุธยา ช่วยสร้างความมั่งคั่ง ให้แก่พระองค์จนทำให้สามารถเป็นที่รู้จักคุ้นเคยกับขุนนางชั้นสูงในส่วนกลาง ดังนั้นเมื่อเมืองตากซึ่งเป็นเมืองชายเขตขนาดเล็ก และไม่ค่อยมีความสำคัญเกี่ยวกับความมั่นคงในราชสำนัก ขาดเจ้าเมืองเพราะเจ้าเมืองคนเก่าถึงแก่กรรม เนื่องจากกรุงศรีอยุธยามีระบบขุนนางที่ล้มเหลว พระเจ้าตากสินซึ่งเป็นพ่อค้าที่สามารถเข้าถึงวงในของระบบราชการของกรุงศรีอยุธยาได้ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองตาก โดยที่การเป็นเจ้าเมืองตากสามารถอำนวยผลประโยชน์ให้แก่การค้าของพระองค์ได้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นเจ้าเมืองตากอยู่ไม่นานก็เกิดสงครามพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาพระองค์ได้ถูกเรียกตัวเข้ามาช่วยป้องกันพระนคร ในฐานะเจ้าเมืองตาก



พระองค์พร้อมกับทหารจำนวน 500 คนจึงเข้ามา เป็นกองกำลังป้องกันพระนครอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่หลังจากเห็นว่า กรุงศรีอยุธยาคงไปไม่รอดจากเงื้อมมือ กองทัพพม่าแน่นอนแล้ว พระองค์พร้อมไพร่พลคู่พระทัยทั้ง 500 คนก็ได้ตีฝ่าวงล้อมกองทัพพม่าออกไปตั้งหลักเพื่อต่อสู้กับพม่า เมื่อได้ปราบดาภิเษกเสวยราชราชสมบัติแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้พยายามสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กลับคืน มาสู่ราชอาณาจักรสยามที่ย้ายมาตั้งอยู่ที่กรุงธนบุรี โดยทรงปราบปรามเมืองต่าง ๆ ให้ยอมรับพระราชอำนาจของพระองค์ ซึ่งบางเมืองต้องใช้กำลัง บางเมืองก็สามารถเกลี้ยกล่อมจนยอมสวามิภักดิ์ จนกระทั่ง พ.ศ 2313 เมื่อพระองค์สามารถปราบก๊กของพระเจ้าฝางได้เป็นก๊กสุดท้าย เป็นอันว่าพระองค์สามารถรวบรวมอาณาเขตของกรุงศรีอยุธยากลับมาได้ดังเดิม โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงธนบุรี เมืองหลวงแห่งใหม่ของราชอาราจักรสยาม นอกจากการรวมอาณาเขตบ้านเมือง ให้กลับคืนมาเป็นปึกแผ่นดังเดิมแล้วพระองค์ก็ได้ส่ง กองทัพไป ปราบปรามเมืองประเทศราชอื่น ๆ คือ เขมร ลาว ให้เข้ามาอยู่ในพระราชอำนาจอย่างที่เคยเป็น ในสมัยอยุธยา ยิ่งไปกว่านั้น แคว้นล้านนา ที่พระมหากษัตริย์อยุธยาไม่เคยได้เข้าครอบครองอย่างถาวร นอกจากยกทัพไปเอาชนะ ได้ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อยกทัพกลับ เจ้าเมืองทั้งหลายของล้านนาก็กลับเป็นอิสระปกครองตนเองกันต่อไป



ในสมัยธนบุรีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงได้สนับสนุนชาวล้านนาตระกูลหนานทิพย์ช้าง ให้ต่อสู้ขับไล่พม่าออกจากดินแดน ล้านนา จึงเป็นดินแดน ที่เข้ารวมอยู่กับกรุงธนบุรี ตลอดระยะเวลา 15 ปี แห่งการเสวยราชสมบัติที่กรุงธนบุรีนั้น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต้องทรงตรากตรำอย่างมากต่อการบริหารราชการแผ่นดินที่เพิ่งฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ การที่ทรงมีชาติกำเนิดจากครอบครัวพ่อค้า อีกทั้งเมื่อรับราชการก็เป็นเพียงเจ้าเมืองขนาดเล็ก และได้เข้ามากรุงศรีอยุธยาก็ต่อเมื่อบ้านเมืองอยู่ในภาวะคับขันแล้ว ดังนั้นเมื่อต้องทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระมหากษัตริย์ผู้สืบสมมติวงศ์ แห่งราชอาณาจักรสยาม จึงสร้างความลำบากพระทัยให้แก่พระองค์อยู่มิใช่น้อยการที่ทรงประสบความสำเร็จ จากการรบหรือการที่ทรงพยายามฟื้นฟู เศรษฐกิจของบ้านเมือง จนราชสำนักจีนยอมรับการเป็นพระมหากษัตริย์ของพระองค์และให้มีการติดต่อค้าขายด้วยหรือการที่ทรงเป็นพุทธมามกะ อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ก็มิได้ทำให้สถานภาพการเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสยามของพระองค์มีความสมบูรณ์ได้เลย เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะพระองค์ไม่ได้มีเชื้อสายของพระราชวงศ์หรือขุนนางแห่งราชสำนักกรุงศรีอยุธยา ผู้ที่ช่่วยส่งเสริมอำนาจให้แก่พระองค์ขึ้นสู่ราชบัลลังก์ได้นั้น ก็ล้วนเป็นทหารและขุนนางหัวเมืองทั้งสิ้น แม้เมื่อภายหลังจะมีขุนนางจากอดีตราชสำนักส่วนกลางกรุงศรีอยุธยามาเข้าร่วมกับพระองค์เพื่อช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองและจารีตราชประเพณีทั้งหลายบ้างก็ตาม ระยะเวลาที่ไม่อำนวยก็คงไม่สามารถสร้างความเป็นสถาบันให้แก่พระองค์ได้ พระองค์เอง ก็อาจมองไม่เห็นความสำคัญในด้านนี้หรือทรงมองแตกต่างออกไปด้วยก็ได้ ดังจะเห็นได้จากขอบเขตพระราชฐานเล็ก ๆ ที่พระราชวังเดิมของพระองค์ ท้องพระโรงขนาดเล็กเป็นอาคารโถงธรรมดา มิได้มียอดปราสาทแสดงความยิ่งใหญ่แห่งพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เหมือนกับกรุงศรีอยุธยาหรือแม้แต่จะเทียบกับกรุงรัตนโกสินทร์์เมื่อแรกสถาปนาภายหลังพระตำหนักที่ประทับก็เป็นเพียงเก๋งจีนเล็ก ๆ ทึบและคับแคบอีกทั้งพระราชจริยวัตรของพระองค์ ที่ทรง เปิดเผยอาจจะเป็นลักษณะของผู้ที่มาจากครอบครัวชาวจีนที่สมถะก็ได้



ด้วยเหตุนี้จึงปรากฎหลักฐานที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของพระองค์ต่ออาณาประชาราษฎร์และขุนนางทั้งหลายว่า ทรงประพฤติปฏิบัติเยี่ยงพ่อกับลูก แต่การเป็นพ่อของพระองค์นั้น ทรงเป็นพ่อตามแบบฉบับชาวจีนที่ลูกจะต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดในขณะที่ความเป็นลูกของขุนนางทั้งหลายนั้นมิใช่ลูกอย่างที่เป็นในครอบครัวชาวจีน พฤติกรรมของพระองค์ที่แตกต่าง ไปจากราชประเพณีของพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาที่เคยมีมา ในขณะที่พระราชอำนาจแห่งความเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ของพระองค ์ยังไม่สมบูรณ์ย่อมเป็นความเปราะบางแห่งราชบัลลังก์ ดังจะเห็นได้จาก หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในช่วงปลายรัชกาลที่กล่าวว่า พระองค์ทรงเสียพระสติ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างข่าวเพื่อทำลายพระองค์หรือทรงเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็ตาม แม้มูลเหตุที่มาย่อมมาจากพฤติกรรมของพระองค์ ที่แตกต่าง ไปจากขนบธรรมเนียมราชประเพณีของพระมหากษัตริย์ที่สืบมาแต่ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาเป็นสำคัญข่าวเรื่องการวิกลจริตของพระองค์แพร่ออกมาได้ โดยไม้มีผู้ใดออกมาปกป้องเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า พระองค์ขาดบุคคลที่ใกล้ชิดซึ่งมีอำนาจและสามารถไว้ใจได้ แตกต่างจากบุคคลใกล้ชิดของพระมหากษัตริย์ในอดีตที่ผ่านมา จะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนมากจะเป็นญาติพี่น้อง ของพระมหากษัตริย์หรือพระราชินี ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นปัจจัย ที่ทำให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต้องสูญเสียอำนาจและถูกปลงพระชนม์



ในที่สุด เมื่อ พ.ศ 2325 ซึ่งถือกันว่า พระองค์ทรงหมดบุญญาธิการแล้วตามแนวคิดของคน ในสมัยนั้นกรุงธนบุรีที่มีฐานะเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรสยามและมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเพียงพระองค์เดียวตลอดระยะเวลา 15 ปี จึงได้สิ้นสุดลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น